ปะเก็น คือ? ปะเก็นมีกี่แบบ ?
ปะเก็น คือ
วัสดุหรือชิ้นส่วนที่ใช้ปิดรอยต่อระหว่างผิวของชิ้นส่วนเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของของเหลว (น้ำ น้ำมัน เคมี) หรือก๊าซ ปะเก็นมักถูกนำมาใช้ในท่อ เครื่องยนต์ ปั๊ม วาล์ว หรืออุปกรณ์ที่ต้องรับแรงดัน และหน้าแปลนท่อ
ลักษณะสำคัญของปะเก็น
1. วัสดุหลากหลาย – เช่น ยาง, โลหะ, ไฟเบอร์, กราไฟต์ หรือวัสดุสังเคราะห์
2. ความยืดหยุ่นและทนแรงดัน – ต้องสามารถปิดรอยต่อให้แน่นและทนแรงดันหรืออุณหภูมิสูงได้
3. ป้องกันการรั่ว – หน้าที่หลักคือกันไม่ให้ของเหลวหรือก๊าซรั่วออกจากรอยต่อ

ปะเก็นมีกี่แบบ?
ปะเก็นจะแบ่งตามวัสดุที่ใช้ทำ ซึ่งวัสดุที่ใช้ทำจะให้คุณสมบัติที่เหมาะสมกับงานแตกต่างกันไป ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
ปะเก็นแบบอโลหะ (Non-metalic gasket)
เป็นวัสดุที่ใช้กันมากที่สุดสำหรับปะเก็นประเภทนี้ ได้แก่ กราไฟท์ ยาง เทฟลอน PTFE มีคุณสมบัติทนต่อการกัดกร่อนได้ดี แต่ทนต่ออุณหภูมิ และความดันสูงได้ไม่ดีมาก เช่น ปะเก็นยาง ปะเก็นแผ่น Non-Asbestos ปะเก็น CNAF ปะเก็น PTFE เป็นต้น

ปะเก็นโลหะ (Metallic gasket)
ทำจากวัสดุที่เป็นโลหะที่มีความอ่อนตัว มีความแข็งแรงสูง ทนต่ออุณหภูมิสูง และความดันได้ดี แต่ควรระวังเรื่องการกัดกร่อน เช่น Soft iron, Low carbon steel, Monel, Inconel ประเภท PTJ หรือ Ring gasket เป็นต้น

ปะเก็นแบบผสม (Composite gasket)
เป็นการผสมกันระหว่างโลหะ และอโลหะ สามารถรับแรงดัน และอุณหภูมิที่หลากหลาย แต่จะมีความเปราะ เช่น ปะเก็นฝาสูบ หรือปะเก็นรถ ปะเก็น Spiral ปะเก็น Kammprofile เป็นต้น

ปะเก็นเหลว (Liquid gasket)
มีลักษณะเหมือนกาวยาง เมื่อทาเข้าไปจะเข้าไปซีล และป้องกันรอยรั่วซึม นิยมใช้งนงานประเภทเครื่องกล และท่อประปาต่างๆ เหมาะสำหรับงานหลายขนาดเนื่องจากมีลักษณะเหมือนกาว ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องของความพอดีของชิ้นงาน แต่มีข้อเสียคือหากเก็บไว้นานอาจจะทำให้แห้ง และเมื่อโดนผิวอาจเกิดการระคายเคืองได้

ปะเก็นแต่ละชนิดมีคุณสมบัติการใช้งานและราคาที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้งานขึ้นอยู่แต่ละประเภทของงาน เลือกปะเก็นให้เหมาะสมกับงานจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและงานมีคุณภาพมากขึ้น
วิธีเลือกปะเก็นให้เหมาะกับงานแต่ละประเภท
1. ประเภทของของเหลวหรือก๊าซ
- ของเหลวหรือก๊าซที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น กรด เบส น้ำมัน ต้องเลือกวัสดุที่ทนต่อสารเคมี เช่น PTFE, กราไฟต์ หรือสแตนเลส
- ของเหลวทั่วไป เช่น น้ำ น้ำมันเครื่อง สามารถใช้ปะเก็นยางหรือไฟเบอร์ได้
2. แรงดันและอุณหภูมิ
- แรงดันสูง → ปะเก็นโลหะหรือโลหะผสมเหมาะสมกว่า
- อุณหภูมิสูง → ปะเก็นกราไฟต์หรือโลหะทนความร้อนสูง
- อุณหภูมิต่ำ → ปะเก็นยางสังเคราะห์แบบ EPDM หรือ NBR
3. ลักษณะรอยต่อ
- รอยต่อเรียบ → ปะเก็นแบบแผ่นเรียบ หรือสับปะเก็นยาง
- รอยต่อมีร่องหรือไม่เรียบ → ปะเก็นอัดขึ้นรูปหรือปะเก็นแบบสปริงโลหะ
4. ความทนทานต่อแรงกดและการสั่นสะเทือน
- งานที่มีการสั่นสะเทือนมาก → ปะเก็นโลหะผสมกราไฟต์ หรือปะเก็นแบบกึ่งโลหะ
- งานที่แรงกดต่ำ → ปะเก็นยางหรือไฟเบอร์เพียงพอ
5. มาตรฐานและข้อกำหนดเฉพาะอุตสาหกรรม
- งานอาหารและยา → ปะเก็นต้องเป็นวัสดุที่ปลอดภัย (FDA approved)
- งานปิโตรเคมี → ปะเก็นต้องทนต่อสารเคมีและแรงดันสูง
สัญญาณว่าปะเก็นเริ่มเสื่อมสภาพ
1. การรั่วซึมของของเหลวหรือก๊าซ
- น้ำ น้ำมัน ไอน้ำ หรือสารเคมีรั่วออกบริเวณรอยต่อ
- เป็นสัญญาณชัดเจนว่าปะเก็นไม่สามารถปิดรอยต่อได้สนิท
2. เกิดคราบหรือร่องรอยบนพื้นผิวรอยต่อ
- คราบน้ำมัน คราบสนิม หรือคราบตะกอนรอบปะเก็น
- แสดงว่ามีการรั่วเล็ก ๆ แม้ยังไม่เห็นเป็นหยดน้ำ
3. เสียงผิดปกติ
- ถ้าเป็นระบบแรงดันสูง เช่น ไอน้ำหรือแก๊ส อาจได้ยินเสียงลม/ไอ/ฟู่
- แสดงว่ามีการรั่วของก๊าซผ่านปะเก็น
4. ปะเก็นบิด เบี้ยว หรือยุบตัว
- ปะเก็นยางหรือไฟเบอร์อาจบวม, หดตัว, แตก หรือมีรอยฉีก
- ปะเก็นโลหะอาจโก่งงอ ทำให้การปิดรอยต่อไม่สนิท
5. แรงยึดรอยต่อเปลี่ยนไป
- ถ้าโบลต์หรือสกรูที่ยึดรอยต่อหลวมเร็วขึ้นหรือถอดง่าย อาจเกิดจากปะเก็นยุบตัว
- แรงดันหรือการขันแน่นไม่เท่ากันทำให้รอยต่อรั่ว
6. การลดประสิทธิภาพของระบบ
- เช่น เครื่องยนต์ร้อนเกินปกติ น้ำมันรั่ว น้ำหรือไอน้ำสูญเสีย
- แสดงว่าปะเก็นไม่สามารถรักษาความดันหรือปิดรอยต่อได้เต็มที่
หากสนใจในการสั่งชื้อ ปะเก็น (Gasket) สามารถเช็คราคาล่าสุดที่ตรงใจและตรงต่อการนำไปใช้งานคุ้มค่ากับงบประมาณโดยการแอดไลน์ได้ที่นี่เลย @northpower หรือ คลิกสอบถามแอดมิน ที่คอยบริการให้ข้อมูลสินค้าช่วยเทียบสเปคสินค้าตั้งแต่ 8:00 - 17:00 แอดได้เลย อย่ารอช้า