ไขความลับของ Safety Relay ส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมสมัยใหม่

เซฟตี้รีเลย์ Safety Relay

Safety Relay คืออะไรในอุตสาหกรรม ?

Safety Relay หรือรีเลย์ความปลอดภัยคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในระบบอัตโนมัติและเครื่องจักรต่างๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การผลิตอาหาร และการแพทย์ Safety Relay คือการตรวจสอบและควบคุมสภาวะ ที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น การสัมผัสกับชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว การรั่วไหลของของเหลว หรือการเกิดความร้อนสูงเกินไป เมื่อตรวจพบสภาวะที่ผิดปกติ Safety Relay จะสั่งให้ระบบหยุดทำงานทันที เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

Safety Relay มีหลักการทำงานอย่างไร ?

SafetyRelayทำงานโดยการตรวจจับและควบคุมสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายเพื่อให้ระบบอัตโนมัติหรือเครื่องจักรหยุดการทำงานอย่างปลอดภัยเมื่อเกิดความผิดปกติ หลักการทำงานของ Safety Relay แบ่งออกได้เป็นขั้นตอนดังนี้

การตรวจจับสัญญาณอินพุต (Input Detection)Safety Relay จะได้รับสัญญาณอินพุตจากอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ เช่น ปุ่ม Emergency Stop, Safety Light Curtain, Safety Mat หรือ Two-Hand Control เป็นต้น สัญญาณอินพุตเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อบอกสถานะความปลอดภัยของระบบ เช่น เมื่อมีการกดปุ่ม Emergency Stop สัญญาณจะถูกส่งไปที่ Safety Relay เพื่อแจ้งให้ระบบทราบถึงสถานการณ์ฉุกเฉิน

การประมวลผลและตรวจสอบ (Processing and Monitoring)หลังจาก Safety Relay ได้รับสัญญาณอินพุตแล้ว วงจรภายในของมันจะประมวลผลและตรวจสอบสัญญาณนั้น เพื่อดูว่าสัญญาณที่ได้รับเข้ามามีความผิดปกติหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากเป็นสัญญาณที่มาจาก Safety Mat ระบบจะตรวจสอบว่ามีคนหรือวัตถุอยู่ในพื้นที่ที่อาจเกิดอันตรายหรือไม่ การตรวจสอบเหล่านี้จะใช้เพื่อให้แน่ใจว่าสถานการณ์ยังคงปลอดภัย

การตัดสินใจ (Decision Making)หาก Safety Relay พบสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ ระบบจะตัดสินใจที่จะหยุดการทำงานของเครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติเพื่อป้องกันความเสี่ยง การตัดสินใจนี้มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

การสั่งการเอาต์พุต (Output Control)เมื่อ Safety Relay ตัดสินใจที่จะหยุดระบบ จะส่งสัญญาณเอาต์พุตไปยังส่วนควบคุมของเครื่องจักร เช่น มอเตอร์ เบรก หรือกลไกอื่นๆ ที่จะทำให้การทำงานหยุดลงทันที เอาต์พุตนี้ทำให้ระบบเข้าสู่สถานะปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ

การรีเซ็ต (Resetting)หลังจากที่ระบบหยุดการทำงาน ผู้ปฏิบัติงานจะต้องทำการรีเซ็ต Safety Relay เพื่อเริ่มการทำงานใหม่ ซึ่งช่วยป้องกันการรีเซ็ตโดยไม่ได้ตั้งใจและทำให้มั่นใจว่าสถานการณ์ปลอดภัยก่อนที่จะกลับไปใช้งานระบบอีกครั้ง

Safety Relay จึงทำหน้าที่สำคัญในระบบความปลอดภัยโดยการประมวลผลและตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์อันตราย ทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม

อุปกรณ์เซฟตี้รีเลย์ (Safety Relay) สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท

โดยจะแบ่งตามหลักการทำงานของวงจรและลักษณะการใช้งาน ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้ช่วยให้สามารถเลือกอุปกรณ์เซฟตี้รีเลย์ได้ตามความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม

การแบ่งอุปกรณ์เซฟตี้รีเลย์ตามหลักการทำงานของวงจร

รีเลย์ความปลอดภัยแบบสัมผัส (Contact Safety Relay)

  • ทำงานโดยใช้หน้าสัมผัสในการเปิดหรือปิดวงจรไฟฟ้า
  • มีหน้าสัมผัสที่ออกแบบมาให้ทนต่อแรงดันและกระแสไฟฟ้าสูง
  • ป้องกันการสัมผัสโดยตรงกับกระแสไฟฟ้า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานต่อแรงดันไฟฟ้าสูง

รีเลย์ความปลอดภัยแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Solid State Safety Relay)

  • ใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในการควบคุมวงจรไฟฟ้าแทนการใช้หน้าสัมผัส
  • มีข้อดีคือไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว ทำให้ทนทานต่อการสั่นสะเทือนและแรงกระแทก
  • มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา เหมาะกับงานที่ต้องการอุปกรณ์ที่มีความทนทานสูงและขนาดกะทัดรัด

รีเลย์ความปลอดภัยแบบไร้สาย (Wireless Safety Relay)

  • ทำงานผ่านสัญญาณวิทยุ ส่งข้อมูลระหว่างรีเลย์กับอุปกรณ์ตรวจจับได้โดยไม่ต้องใช้สายเชื่อมต่อ
  • เหมาะสำหรับการติดตั้งในจุดที่ยากต่อการเข้าถึงและช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้งระบบสายไฟ

การแบ่งอุปกรณ์เซฟตี้รีเลย์ตามลักษณะการใช้งาน

  • แบบกันกระแทก (Shock Safety Relay)ออกแบบมาให้ทนต่อแรงกระแทก เหมาะกับเครื่องจักรกลหนัก เช่น รถยก หรือเครน
  • แบบกันความร้อน (Heat Safety Relay)ใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง เช่น เตาอบและหม้อต้ม
  • แบบกันไฟไหม้ (Fire Safety Relay)ใช้ในระบบไฟฟ้าภายในอาคารบ้านเรือนหรืออุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้
  • แบบกันไฟรั่ว (Earth Leakage Safety Relay)ออกแบบมาเพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วในระบบ โดยเฉพาะในระบบที่มีความเสี่ยงสูงในการรั่วไหลของกระแสไฟ

ในโครงสร้างของ Safety Relay ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ได้แก่

  • วงจรตรวจจับ (Sensing Circuit) – ใช้ในการตรวจจับสภาวะที่เป็นอันตราย เช่น การลัดวงจร หรือความผิดปกติอื่นๆ โดยส่งสัญญาณไปยังวงจรควบคุม
  • วงจรควบคุม (Control Circuit) – ทำหน้าที่รับสัญญาณจากวงจรตรวจจับและประมวลผลเพื่อตัดสินใจว่าสถานการณ์นั้นมีความเสี่ยงหรือไม่
  • วงจรขับ (Driving Circuit) – เมื่อวงจรควบคุมตัดสินว่ามีความเสี่ยง วงจรขับจะทำงานเพื่อสั่งการให้รีเลย์หยุดการทำงานของเครื่องจักรทันที
  • รีเลย์หรือหน้าสัมผัส (Relay Contacts) – เป็นส่วนที่ใช้ในการหยุดกระแสไฟฟ้าหรือควบคุมการทำงานของเครื่องจักรโดยตรง มีความทนทานและสามารถทนกระแสสูงได้เพื่อการหยุดงานที่รวดเร็ว

การใช้ Safety Relay ช่วยให้ระบบอัตโนมัติในโรงงานสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อพนักงานและเครื่องจักร และยังช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดได้

ทำไมต้องใช้ Safety Relay ในอุตสาหกรรม ?

Safety Relay หรือ รีเลย์ความปลอดภัย นั้นเปรียบเสมือน "ยามเฝ้าประตู" ที่คอยดูแลความปลอดภัยในระบบอัตโนมัติและเครื่องจักรต่างๆ โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม การใช้ Safety Relay นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเหตุผลหลักๆ ดังนี้

1. เพื่อความปลอดภัยของบุคลากร

  • ป้องกันการบาดเจ็บ: เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น มีคนเข้าไปในพื้นที่อันตราย หรือสัมผัสกับชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว Safety Relay จะสั่งให้
  • เครื่องจักรหยุดทำงานทันที เพื่อป้องกันการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
  • ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ: การใช้ Safety Relay ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในการทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานทุกคน

2. เพื่อป้องกันความเสียหายต่อทรัพย์สิน

  • ป้องกันเครื่องจักรเสียหาย: เมื่อเกิดความผิดปกติ เช่น เกิดการรั่วไหลของของเหลว หรืออุณหภูมิสูงเกินไป Safety Relay จะสั่งให้เครื่องจักรหยุดทำงานทันที เพื่อป้องกันความเสียหายต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ
  • ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม: การป้องกันความเสียหายตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักรในระยะยาว

3. เพื่อให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

  • ลดเวลาหยุดทำงาน: เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ Safety Relay จะสั่งให้หยุดเฉพาะส่วนที่เกิดปัญหาเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ของระบบยังคงทำงานต่อไปได้ ทำให้ลดเวลาในการหยุดทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ: การมีระบบ Safety Relay ทำให้ระบบมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายที่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตในวงกว้าง

4. เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย

  • ปฏิบัติตามกฎหมาย: การใช้ Safety Relay เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ
  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร

สรุปแล้ว การใช้ Safety Relay นั้นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบุคลากร ป้องกันความเสียหายต่อทรัพย์สิน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตนอกจากนี้ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและความใส่ใจต่อความปลอดภัยขององค์กรอีกด้วย

การเลือกอุปกรณ์เซฟตี้รีเลย์ (Safety Relay) ที่เหมาะสมเพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยสำคัญ โดยสามารถพิจารณาได้ดังนี้

1.เลือกประเภทของเซฟตี้รีเลย์ให้เหมาะสมกับอันตรายที่ต้องการป้องกันมีเซฟตี้รีเลย์หลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันอันตรายที่แตกต่างกัน เช่น สำหรับการใช้งานกับ Safety Light Curtain, Emergency Stop หรือ Safety Mat จึงควรเลือกเซฟตี้รีเลย์ที่ตอบโจทย์ลักษณะงานที่ต้องการป้องกันเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม

2.เลือกประเภทของเซฟตี้รีเลย์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งานควรพิจารณาปัจจัยในสถานที่ติดตั้ง เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ฝุ่นละออง หรือความสามารถในการเข้าถึง โดยหากใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือฝุ่นมาก อาจจำเป็นต้องเลือกเซฟตี้รีเลย์ที่มีความทนทานสูงหรือมีการป้องกันพิเศษเพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนานและมีประสิทธิภาพ

3.เลือกเซฟตี้รีเลย์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยการเลือกเซฟตี้รีเลย์ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากล เช่น IEC 61508 หรือ EN ISO 13849-1 เป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันว่าอุปกรณ์ได้ผ่านการทดสอบที่เข้มงวดและมีความปลอดภัยสูง ทำให้ลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานจริง

4.เลือกเซฟตี้รีเลย์ที่มีความสามารถในการตัดกระแสไฟฟ้าดีเซฟตี้รีเลย์ที่ดีควรมีความสามารถในการตัดกระแสไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำเมื่อระบบตรวจพบความผิดปกติ ทำให้สามารถหยุดการทำงานของเครื่องจักรได้ทันท่วงทีและป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น

5.เลือกเซฟตี้รีเลย์ที่สามารถทนต่อแรงดันและกระแสไฟฟ้าสูงได้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้ไฟฟ้ากระแสสูง ควรเลือกเซฟตี้รีเลย์ที่ทนทานต่อแรงดันและกระแสไฟฟ้าสูง เพื่อให้สามารถทำงานได้ยาวนานและลดโอกาสการเสียหายหรือล้มเหลวจากการใช้งานในสภาวะที่มีโหลดสูง

6.เลือกเซฟตี้รีเลย์ที่มีความน่าเชื่อถือควรเลือกเซฟตี้รีเลย์จากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่มีชื่อเสียงและมีมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์จะทำงานได้อย่างเสถียรและไม่เกิดการล้มเหลวที่อาจนำไปสู่อันตรายต่อระบบ

การเลือกเซฟตี้รีเลย์ที่เหมาะสมและมีคุณภาพสูงจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระบบอัตโนมัติและเครื่องจักรในโรงงาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและความเสียหาย ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

หากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เซฟตี้รีเลย์ (Safety Relay) หรือต้องการคำแนะนำในการเลือกใช้ เซฟตี้รีเลย์ (Safety Relay)ที่เหมาะสมกับงานของคุณ สามารถสอบถามหรือต้องการคำแนะนำในการเลือกใช้งาน สามารถสอบถามได้เลยค่ะ สามารถเลือกซื้อ ได้จากเรา Northpower สอบถามราคาที่ถูกใจกับแอดมิน หรือเปรียบเทียบราคาเซฟตี้รีเลย์ (Safety Relay) แบรนด์ต่างๆ